วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เทคนิคการถ่ายวีดีโอ



มุมกล้อง
การถ่ายภาพในมุมที่ต่างกัน ยังมีผลต่อความคิดความรู้สึกที่จะสื่อความหมายไปยังผู้ดูได้ เราอาจแบ่งมุมกล้องได้เป็น 3 ระดับ คือ
1.ภาพระดับสายตา คือ การถ่ายภาพในตำแหน่งที่อยู่ในระดับสายตาปรกติที่เรามองเห็น ขนานกับพื้นดิน ภาพที่จะได้จะให้ความรู้สึกเป็นปรกติธรรมดา
2.ภาพมุมต่ำการถ่ายภาพในมุมต่ำ คือ การถ่ายในต่ำแหน่งที่ต่ำกว่าวัตถุ จะให้ความรู้สึกถึงความสูงใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริง แสดงถึงความสง่า
3.การถ่ายภาพมุมสูง คือ การตั้งกล้องถ่ายในต่ำแหน่งที่สูงกว่าวัตถุ ภาพที่ได้จะให้ความรู้สึกถึงความเล็กความต้อยต่ำ ไม่มีความสำคัญ
เทคนิคการซูมและการโพกัส
1.ในขณะที่ซูมไม่ควรเดินหรือเคลื่อนไหว เพราะจะทำให้วีดีโอที่ได้มีโอกาสสั่นไหวสูง
2.หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยขณะซูม ขอแนะนำให้ดึงซูมออกมาให้สุดก่อน แล้วค่อยกดปุ่มบันทึก จากนั้นให้เดินเข้าไปแทนการซูมเลนส์
3.อย่าสนุกกับการซูมจนมากเกินไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เพิ่มเริ่มเล่นกล้องมักจะชอบดึงซูมเข้า/ออก ทำให้ภาพที่ได้น่ามึนหัว เหมือนกำลังกระแทรกกำแพงโป๊กๆที่จริงแล้วการซูมจะทำเมื่อต้องการดูรายละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกเรื่องราว หรือซูมออกเพื่อแสดงภาพรวมของเหตุการณ์นั้นๆ พูดง่ายๆ จะซูมก็ควรมีเหตุมีผลมีเรื่องราวที่จะเล่าจากการซูมจริงๆ
4.ควรหยุดซูมเสียก่อนค่อยเคลื่อนไหวกล้อง หรือซูมก่อนบันทึกภาพ จุดนี้จะช่วยให้วีดีโอที่ได้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในท้องทะเล อาจจะตั้งกล้องซูมเข้าไปที่เรือจากนั้นกดปุ่มบันทึก แล้วค่อยๆซูมออกมาให้เห็นท้องทะเล
การแพนกล้อง
การแพนกล้องที่ดีต้องมีจังหวะที่จะแพน คือต้องมีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของการแพน จุดนี้เองคนที่อยู่เบื้องหลังคอยตัดต่อภาพทั้งหลายมันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะตัดต่อภาพ โดยมีภาพทีแกว่งไปแกว่งมา หรือวูบวามไปมา เมื่อนำมาร้อยใส่ภาพนิ่งๆจะรู้สึกได้เลยว่าไม่เข้ากัน พลอยทำให้ดูไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ ไม่นิ่มนวลสมจริง บางครั้งรู้สึกว่าโดดไปโดดมา หากจะให้ตัดต่อได้สะดวกและภาพสมบูรณ์ การแพนจะต้องมีจุดเริ่ม คือเริ่มจากถือกล้องให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นกดปุ่มบันทึกภาพแล้วค่อยแพน และจุดจบ คือนิ่งทิ้งท้ายตอนจบอีกเล็กน้อย เพื่อบอกคนดูให้เตรียมพร้อมและพักสายตาระหว่างชมภาพ
การบันทึกเป็นช็อต
“ช็อต” คือการเริ่มบันทึก เพื่อเริ่มเทปเดินและเริ่มบันทึกลงม้วนเทป จนกระทั่งกดปุ่ม Rec อีกครั้ง เพื่อเลิกการบันทึก แบบนี้เค้าเรียกว่า 1 ช็อต การถ่ายเป็นช็อคไม่ควรปล่อยให้ช็อตไม่ควรปล่อยให้ช็อตนั้นยืดยาวไปนัก คือไม่ควรเกิน 5 วินาทีต่อ 1 ช็อต

Cr: http://krubeenan.wordpress.com/2012/07/27/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD/
http://s2.favim.com/orig/33/camera-photography-vintage-Favim.com-268188.jpg

การเขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องสั้น

       การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว  นวนิยาย   เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราวหรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ หรืออะไรที่ทำให้เกิดความคิด จินตนาการ การสร้างสรรค์ คือการนำเรื่องราวมาประสมประสานกันให้เป็นเรื่องขึ้นมา ความพยายามเท่านั้นทำให้เกิดความสำเร็จ  ขอให้ศึกษาในบทภาพยนตร์ต่อไป




Cr : 
http://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0
http://webneel.com/daily/sites/default/files/images/daily/02-2013/5-winter-baby-photography.jpg

ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น



1.หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ การตัดต่อ การประเมินผล
2.หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึง ผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิค
3.เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ
4.บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา บทจะมีหลายแบบ
- บทแบบสมบูรณ์  ประมาณว่า เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูดครับ
- บทแบบอย่างย่อ ประมาณว่า เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง
- บทแบบเฉพาะ
- บทแบบร่างกำหนด
5.การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากคุณต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน  ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบนะเยอะมาก  รวมๆมีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้
6.ค้นหามุมกล้อง
- มุมคนดู ประมาณว่า เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ
- มุมแทนสายตา
- มุมพ้อยออฟวิว เป็นมุมที่สวยมากในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ
 7.การเคลื่อนไหวของกล้อง
- การแพน การทิลท์ ประมาณว่า การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันกัน
- การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหวเลย
- การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง
8.เทคนิคการถ่าย
เอาเป็นว่าจับกล้องให้มั่นนะ เช่น แบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลยและก็ไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็วน กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอ
9.หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟก ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่อง อักษรหนังสือ
10.การตัดต่อ
1.จัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้งครับอย่าให้ขัดอารมณ์
2.คือจัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่เราวาง
3.แก้ไขข้อบกพร่อง
4.เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม

Cr: http://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/
http://images.fineartamerica.com/images-medium-large/vintage-suitcase-carmen-moreno-photography.jpg

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หนังสั้นคืออะไร?





      ภาพยนตร์สั้น หรือ หนังสั้น (อังกฤษShort film, หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Short) เป็นประเภทของภาพยนตร์อย่างหนึ่งที่เหมือนกับภาพยนตร์ทั่วไป ที่เล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงเฉกเช่นภาพยนตร์ความยาวปกติ เพียงแต่ว่าเป็นการเล่าเรื่องประเด็นสั้น ๆ หรือประเด็นเดียวให้ได้ใจความ มาตรฐานของภาพยนตร์สั้น คือ มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 40 นาที
      สำหรับในประเทศไทย ภาพยนตร์สั้นเรื่องแรกเกิดขึ้นในสมัยของรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป ความยาว 1 นาทีโดยช่างภาพของบริษัทลูมิแอร์ (Lumiere) ของฝรั่งเศส ผู้ผลิตและพัฒนากล้องถ่ายภาพยนตร์สำคัญรายหนึ่งของโลก
       ปัจจุบัน ภาพยนตร์สั้นได้รับความสนใจและตื่นตัวอย่างมาก มีผู้สร้าง ผู้ผลิตหลายรายมากขึ้น และในการแจกรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 80 ในปี ค.ศ. 2012 ที่เป็นการแจกรางวัลให้แก่ภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2011 ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่มีการแจกรางวัลให้แก่ภาพยนตร์ประเภทนี้ด้วย โดยแบ่งออกเป็น 2 รางวัล คือ ภาพยนตร์สั้น (Live Action) และแอนิเมชั่นสั้น (Animated)

Cr : http://guy038.blogspot.com/

การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)

การหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มีขั้นตอนดังนี้
1.แยกงานสถานที่จากบทและรวมกลุ่มสถานที่ การเริ่มหาสถานที่ให้นำบทมาอ่านแล้วลำดับรายชื่อสถานที่เกิดขึ้นในบท จากนั้นก็มารวมกลุ่มกันโดยคำนึงถึงกลุ่มสถานที่ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวก เช่น ฉากทะเล ภูเขา หมู่บ้าน ชาวประมง ร้านอาหารริมทะเล หรือบ้านไม้ ซอยแคบ ถนนลูกรัง หรือโรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาเกต ร้านไอศกรีม ฯลฯ
2.ติดต่อสอบถาม เมื่อได้รายชื่อสถานที่แล้ว ให้ติดต่อสอบถามแหล่งต่างๆ เช่น จากเพื่อน ผู้ช่วยผู้กำกับกองถ่ายอื่น เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตามสถานที่ต่างๆ ดูจากนิตยสารการท่องเที่ยว โปสการ์ด แผ่นพับ เพื่อให้ได้ข้อมูลขั้นต้น ไม่ใช่ออกหาสถานที่เลย เพราะจะประหยัดเวลา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหารได้มาก
3.บริหารการเดินทาง การออกหาสถานที่ถ่ายทำ หากเช่ารถแล้วควรเริ่มออกแต่เช้าตรู่ บุคคลที่ไปหาไม่ควรเกิน 2 คน คือ ฝ่ายธุรกิจหนึ่ง และผู้ช่วยฝ่ายศิลป์หนึ่ง ฝ่ายธุรกิจดูแลการจัดการ เช่น ระยะทาง ค่าเช่าที่พัก การติดต่อขออนุมัติ ส่วนฝ่ายศิลปะดูความสวยงามทางศิลปะที่สอดคล้องกับบท ใช้กล้องและฟิล์มราคาถูกถ่ายภาพมุมต่างๆ ที่เห็นเหมาะ บางสถานที่ขอภาพถ่ายที่เขามีอยู่แล้ว หรือขอแผ่นพับโฆษณาก็ได้ ในขณะเดียวกันร่างแผนที่และแผนผังพื้นที่มาด้วย
3.นำภาพถ่ายเข้าที่ประชุม นำภาพถ่ายแผ่นพับ แผนผัง และข้อมูลที่ได้มาเพื่อเข้าที่ประชุมและคัดเลือก
4.ดูสถานที่จริง เมื่อคัดเลือกสถานที่ขั้นต้นได้แล้ว ขั้นต่อไปผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ และผู้กำกับฝ่ายศิลป์ จะเดินทางไปดูสถานที่จริง จะเพิ่มเติมดัดแปลงอะไร จะวางกล้องตรงไหนจะได้ปรึกษากับตอนนี้ เบอร์โทรศัพท์ แผนที่ วันเวลาเปิดปิด เงื่อนไขการเข้าสถานที่ก็ยืนยันความแน่นอนตอนนี้




Cr : http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

100 หนังยอดเยี่ยมตลอดกาลของผู้กำกับทั่วโลกจากนิตยสาร "Sight & Sound"

โพลสำรวจในปี 2012 จัดทำโดยนิตยสาร "Sight & Sound" ของอังกฤษ (โหวตกันทุก 10 ปีเพื่อหาหนังยอดเยี่ยมตลอดกาล)
มีผู้กำกับภาพยนตร์ชั้นนำทั่วโลกร่วมโหวต  โดยให้โหวตกันคนละ 10 เรื่อง  หลังจากนั้นเอาคะแนนมารวมกันเพื่อคัดหนังให้ได้ 100 เรื่อง
แล้วจัดอันดับจาก TOP 10 ลงไปหา TOP 100  ซึ่งผลโหวตในคราวนี้มีหนังที่ได้คะแนนเท่ากันหลายเรื่องมาก
ครั้งนี้มีผู้กำกับร่วมโหวตทั้งหมด 358 คน เช่น  Guillermo del Toro,  Martin Scorsese,  Michael Mann,  Quentin Tarantino
Agnieszka Holland  และอีกมากมายหลายคนจากหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งผู้กำกับไทย 5 คนคือ  เป็นเอก รัตนเรือง,  พิมพกา โตวิระ,อโนชา สุวิชากรพงศ์,  อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล,  และอาทิตย์ อัสสรัตน์


ตังอย่างภาพยนตร์ที่ถูกจัดอันดับ 21 อันดับ

อันดับที่ 1 Tokyo Story (Yasujiro Ozu, 1953) Japan "Full Movie"

อันดับที่ 2 Citizen Kane (Orson Welles, 1941) USA และ 2001: A Space Odyssey (Stanley       Kubrick, 1968) Great Britain / USA

อันดับที่ 4  (Federico Fellini, 1963) France / Italy "Full Movie"

อันดับที่ 5 Taxi Driver (Martin Scorsese, 1976) USA

อันดับที่ 6 Apocalypse Now (Francis Ford Coppola, 1979) USA

อันดับที่ 7 Vertigo (Alfred Hitchcock, 1958) USA และ  The Godfather:Part I (Francis Ford   Coppola, 1972) USA

อันดับที่ 9 Mirror (Andrei Tarkovsky, 1974) USSR

อันดับที่ 10 The Bicycle Thieves (Vittorio de Sica, 1948) Italy "Full Movie"

อันดับที่ 11 Breathless (Jean-Luc Godard, 1960) France

อันดับที่ 12 Raging Bull (Martin Scorsese, 1980) USA

อันดับที่ 13 AndreiRublev (AndreiTarkovsky,1966) USSR, Persona (Ingmar                         Bergman,1966) Sweden "Full Movie"และ The 400 Blows (FrancoisTruffaut,1959) France "Full Movie"

อันดับที่ 16 Fanny and Alexander (Ingmar Bergman, 1982) France / Sweden

อันดับที่ 17 Seven Samurai (Akira Kurosawa, 1954) Japan

อันดับที่ 18 Rashomon (Akira Kurosawa, 1950) Japan "Full Movie"

อันดับที่ 19 Ordet (Carl Theodor Dreyer, 1955) Denmark "Full Movie" และ Barry Lyndon (Stanley Kubrick, 1975) Great Britain / USA
อันดับที่ 21 Au Hasard Balthazar (Robert Bresson, 1966) France / Sweden 


Tokyo Story (Yasujiro Ozu, 1953) Japan "Full Movie"


Cr : http://pantip.com/topic/30992836

การเล่าเรื่อง






ศิลปะการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์ ล้วนแล้วแต่มีรากฐานแบบเดียวกัน นั่นคือ การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของมนุษย์หรือสัตว์ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด ณ สถานที่ใดที่หนึ่งเสมอ ฉะนั้น องค์ประกอบที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ตัวละคร สถานที่ และเวลา


สิ่งที่สำคัญในการเขียนบทหนังสั้นก็คือ การเริ่มค้นหาวัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจให้ได้ ว่าเราอยากจะพูด จะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับอะไร ตัวเราเองมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างไร ซึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนบทที่เราสามารถนำมาใช้ได้ก็คือ ตัวละคร แนวความคิด และเหตุการณ์ และควรจะมองหาวัตถุดิบในการสร้างเรื่องให้แคบอยู่ในสิ่งที่เรารู้สึก รู้จริง เพราะคนทำหนังสั้นส่วนใหญ่ มักจะทำเรื่องที่ไกลตัวหรือไม่ก็ไกลเกินไปจนทำให้เราไม่สามารถจำกัดขอบเขตได้


เมื่อเราได้เรื่องที่จะเขียนแล้วเราก็ต้องนำเรื่องราวที่ได้มาเขียน Plot (โครงเรื่อง) ว่าใคร ทำอะไร กับใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร เพราะอะไร และได้ผลลัพธ์อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อมูล หรือวัตถุดิบที่เรามีอยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนว่ามีแนวคิดมุมมองต่อชีวิตคนอย่างไร เพราะความเข้าใจในมนุษย์ ยิ่งเราเข้าใจมากเท่าไร เราก็ยิ่งทำหนังได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น


และเมื่อเราได้เรื่อง ได้โครงเรื่องมาเรียบร้อยแล้ว เราก็นำมาเป็นรายละเอียดของฉาก ว่ามีกี่ฉากในแต่ละฉากมีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่นมีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ไปเรื่อย ๆ จนจบเรื่อง ซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนการเขียนบทไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมาย เพราะมีการกำหนดเป็นแบบแผนไว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยาก มาก ๆ ก็คือกระบวนการคิด ว่าคิดอย่างไรให้ลึกซึ้ง คิดอย่างไรให้สมเหตุสมผล ซึ่งวิธีคิดเหล่านี้ไม่มีใครสอนกันได้ทุกคน ต้องค้นหาวิธีลองผิดลองถูก จนกระทั่ง ค้นพบวิธีคิดของตัวเอง

Cr : -http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=filmlover&month=12-2007&date=01&group=10&gblog=4
       -https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNpk7Nc9guJW84MT_Fisn9gdaZhHuCsF83THEhA5-KO6AQVWjEYfbZfs6BbAWI1EGFCu2U-_i9ZSMxqcOGrP6tWLvpoi8akeoPiktR18pEfBBbJ77mrYeGGJTYK4YWjFJd0GURLdUC8iw/s1600/isagerblommingdals1.jpg

การวางคาแรคเตอร์ตัวแสดงในบทภาพยนตร์







การที่หนังสักเรื่องจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในการชักจูงคนดู
ให้มีอารมณ์ร่วมไปกับหนังแบบตลอดรอดฝั่งได้นั้น เกิดจากปัจจัยหลายๆอย่างรวมกัน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะชี้ชะตาของหนังเรื่องนั้นๆว่า จะดึงดูดและนำพาคนดูให้เดินทางไปกับหนังตลอดเวลาได้หรือไม่นั้น ก็คือการวางคาแรคเตอร์ตัวแสดงในบทหนังนั่นเอง การวางคาแรคเตอร์ที่ไม่ชัดเจน หรือ "เหมือนกันไปหมด" กลายเป็นจุดที่ฆ่าหนังทั้งเรื่องไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าตัวละครมีลักษณะคล้ายกัน ทรงผมเหมือนกัน เสื้อผ้าต่างกันไม่มาก จะเกิดอะไรขึ้น?

1. ถ้าหนังสั้นมากๆจะทำให้คนดูงงหรือถ้าตัวละครใช้เสื้อผ้าเหมือนๆกันอีก คนดูอาจจะสับสนสุดขีดจนเผลอปากด่าบุพการีผู้กำกับในระหว่างการชม
2. ทำให้หนังไม่เดิน เพราะว่าการกระทำ ความคิด ความเห็น และแนวปฏิบัติของตัวละครในหนังดูจะเป็นไปในทางเดียวกันหมด หาอุปสรรคที่เป็นสาเหตุของแรงจูงใจ (Motif) ของตัวละครไม่เจอ หรืออาจจะเดินไปได้ถ้าคนเขียนพยายามยัดเยียดแรงจูงใจเทียม(ซึ่งเป็นของคนเขียนบท) เข้าไปในตัวละครนั้นๆที่อาจจะไม่มีแน้วโน้มว่าจะปฏิบัติอะไรอย่างนั้นเลยก็ได้
3. ขาดความน่าสนใจที่จะดึงดูดให้ติดตามตัวละคร เพราะไม่รู้ว่าจะตามดูตัวไหนดี ไม่มีเอกลักษณ์สักตัว แม้จะแบ่งเวลาในหนังให้บางตัวมากกว่าก็ช่วยไม่ได้มาก

ซึ่งก็สามารถมีบทบาทเทียบเท่าตัวแสดงที่เป็นคนได้เหมือนกัน และยังช่วยทำให้แคเรคเตอร์ต่างๆดูชัดเจนขึ้นด้วยนั่นคือ
1. คาแรคเตอร์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น อีที, สุนัข, สัตว์ประหลาดในชุดยาง , ต้นไม้ (สางเขียว)

2. คาแรคเตอร์ที่ไม่มีชีวิต เช่นสิ่งของ, บรรยากาศ หรือฉากในหนัง ลูกวอลเล่ย์บอลชื่อวิลสัน ใน The Cast Away, ขนนกใน Forrest Gumps(เอ๊ะนี่ทำไมผมถึงไม่ไปไกลเกินกว่าหนังของเซเมคคิสเลยวะ), เงินในกล่องมาม่าใน เรื่องตลก 69 โดยเป็นเอก รัตนเรือง หรือ กล่องประหลาดใน กล่อง ของท่านมุ้ย (เอ้อ...พ้นแล้วเว้ย), ตู้รับจดหมายใน 
Il Mare, ปลา(จำพันธุ์ไม่ได้) ใน Shiri, บรรยากาศมืดๆที่รายล้อมไปด้วยรายละเอียดประหลาดๆในหนัง เดวิด ลินซ์, แสงจากหลอดไฟสีชมพูในหนังสั้น ม.รังสิตเรื่องบ้านสีชมพู หรือ บทความประกาศการรู้แจ้งจากคนบ้าในหนังสั้นชื่อ The End of Paradise ในหนังของผมเอง ฯลฯ

3. สภาวะทางอารมณ์, ทางจิต, วิธีปฏิบัติ และปฏิกิริยาตอบโต้ต่างๆของคาแรคเตอร์ที่เป็นมนุษย์มีต่อคาแรคเตอร์ที่ทั้งเป็นมนุษย์ และไม่ใช่มนุษย์ก็สามารถสร้างความแตกต่างของคาแรคเตอร์ขึ้นได้เหมือนกัน หรือแม้แต่จะสร้างคาแรคเตอร์หนึ่งขึ้นมาก็ยังไหว


จริงๆแล้วมีวิธีการร้อยแปดประการในการที่จะสร้างคาแรคเตอร์ขึ้นมานอกเหนือจากส่วนที่เป็นมนุษย์ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการคิดและนำเสนอที่ใช้ในการสร้างมันขึ้นมาว่าส่งเสริมธีมของเรื่องหรือไม่ การนำเสนอคาแรคเตอร์ที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นไม่ง่ายถ้าจะทำให้เนียนแบบที่ไม่โดดออกมาจนน่าเกลียด (ประมาณว่าโคลสอัพกับแบบไม่เลี้ยงเพื่อขับเน้นความมีอยู่ของตัวละครนั้นๆ) ขึ้นอยู่กับประสบการณ์เฉพาะตัวของแต่ละคน


Cr : -http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=filmlover&month=12-2007&date=01&group=10&gblog=6
-https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivK2oLQ1N1e7HeVEf5DrQeZLOhE5KdL3OHgVy8B2iuOU62D-Zrcnca-AIl5wg8PkiZHwuilYrTwQVxe3LMXMYhsuYTUy0uS-SrBW-8OsxI2N5oxwGaz77hTAlFz5hZeDTQr0aTqAj3wmk/s1600/Mackenzie+character+sketches.jpg
-https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjy7tAFEb3DS13srnDXmZDTH6CBTGZrxoC2SaHXShUiz2DAkokWutwB8xbhUWzTDfo3Xp7OJXXBpgXBS_H-b5fr5x5AZorb6TQUP73RQC2Fee0ibDPyO-tm7_3Jm5PpHpEfJVQxFeJIUA/s1600/up_pixar_concept_art_character_01.jpg

ขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์





1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research) เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม

2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise) หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นถ้า...” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น

3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis) คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)

4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment) เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำหคัญ (premise) ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ

5. บทภาพยนตร์ (screenplay) สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script) เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที

6. บทถ่ายทำ (shooting script) คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง

7. บทภาพ (storyboard) คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย 



Cr : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=filmlover&month=12-2007&date=01&group=10&gblog=3

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การเตรียมการและการเขียนบทภาพยนตร์


ารเขียนบทภาพยนตร์เริ่มต้นที่ไหน เป็นคำถามที่มักจะได้ยินเสมอสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเขียนบทภาพยนตร์ใหม่ ๆ เช่น ควรเริ่มช็อตแรก เห็นยานอวกาศลำใหญ่แล่นเข้ามาขอบเฟรมบนแล้วเลยไปสู่แกแล็กซี่เบื้องหน้าเพื่อให้เห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล หรือเริ่มต้นด้วยรถที่ขับไล่ล่ากันกลางเมืองเพื่อสร้างความตื่นเต้นดี หรือเริ่มต้นด้วยความเงียบมีเสียงหัวใจเต้นตึกตัก ๆ ดี หรือเริ่มต้นด้วยความฝันหรือเริ่มต้นที่ตัวละครหรือเหตุการณ์ดี เหล่านี้เป็นต้น บางคนบอกว่ามีโครงเรื่องดี ๆ แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไร


การเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ เราต้องมีเป้าหมายหลักหรือเนื้อหาเป็นจุดเริ่มต้นการเขียน เราเรียกว่าประเด็น (Subject) ของเรื่อง ที่ต้องชัดเจนแน่นอน มีตัวละครและแอ็คชั่น ดังนั้น นักเขียนควรเริ่มต้นจากจุดนี้พร้อมด้วยโครงสร้าง (Structure) ของบทภาพยนตร์


ประเด็นอาจเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ เช่น มนุษย์ต่างดาวเข้ามาเยือนโลกแล้วพลัดพลาดจากยานอวกาศของตน ไม่สามารถกลับดวงดาวของตัวเองได้ จนกระทั่งมีเด็ก ๆ ไปพบเข้าจึงกลายเป็นเพื่อนรักกัน และช่วยพาหลบหนีจากอันตรายกลับไปยังยานของตนได้ นี่คือเรื่อง E.T. – The Extra-Terrestrial (1982) หรือประเด็นเป็นเรื่องของนักมวยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่สูญเสียตำแหน่งและต้องการเอากลับคืนมา คือเรื่อง Rocky III หรือนักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุสำคัญที่หายไปหลายศตวรรษ คือเรื่อง Raider of the Lost Ark (1981) เป็นต้น


การคิดประเด็นของเรื่องในบทภาพยนตร์ของเราว่าคืออะไร ให้กรองแนวความคิดจนเหลือจุดที่สำคัญมุ่งไปที่ตัวละครและแอ็คชั่น แล้วเขียนให้ได้สัก 2-3 ประโยค ไม่ควรมากกว่านี้ และที่สำคัญไม่ควรกังวลในจุดนี้ว่าจะต้องทำให้บทภาพยนตร์ของเราถูกต้องในแง่ของเรื่องราว แต่ควรให้มันพัฒนาไปตามแนวทางของขั้นตอนการเขียนจะดีกว่า
สิ่งแรกที่เราควรฝึกเขียนคือต้องบอกให้ได้ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น เรื่องเกี่ยวกับความดีและความชั่วร้าย หรือเกี่ยวกับความรักของหนุ่มชาวกรุงกับหญิงบ้านนอก ความพยาบาทของปีศาจสาวที่ถูกฆาตกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดที่ยังขาดแง่มุมของการเขียนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จึงต้องชัดเจนมากกว่านี้ โดยเริ่มที่ตัวละครหลักและแอ็คชั่น ดังนั้นประเด็นของเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญของจุดเริ่มต้นการเขียนบทภาพยนตร์

อย่างไรก็ตาม การเขียนบทภาพยนตร์สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ควรค้นหาสิ่งที่น่าสนใจจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของนักเขียนเอง เขียงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองรู้ ทำให้ได้รายละเอียดในเชิงลึกของเนื้อหา เกิดความจริง สร้างความตื่นตะลึงได้ เช่นเรื่องในครอบครัว เรื่องของเพื่อนบ้าน เรื่องในที่ทำงาน ของตนเอง เรื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นต้น

warrior, knight, theatre, art, nature, fight, photography, dragon, Dream, story, book, adventure, play, magic

Cr: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=filmlover&month=12-2007&date=01&group=10&gblog=5